kruworapan Article


อาณาจักรโบราณ



อาณาจักรโบราณในดินแดนไทยและอิทธิพลที่มีต่อสังคมไทย

          ดินแดนไทยปัจจุบันเคยเป็นที่ตั้งของอาณาจักรโบราณหลายแห่ง  ดังพบหลักฐานอยู่ในรูปของศิลาจารึก  ตำนาน  โบราณสถาน  โบราณวัตถุ  อาณาจักรโบราณที่สำคัญมีดังนี้

          1)  อาณาจักรเจนละ  (พุทธศตวรรษที่ 12-13)  เป็นอาณาจักรเขมรโบราณที่เจริญรุ่งเรืองต่อจากอาณาจักรฟูนัน (ราวพุทธศตวรรษที่ 6-11)  และมีอิทธิพลอยู่บริเวณปากแม่น้ำโขงในกัมพูชาถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยและภาคใต้ของลาว  ได้รับอารยธรรมจากอินเดีย
          อาณาจักรเจนละซึ่งมีศูนย์กลางอยู่แถบปากแม่น้ำมูล  ได้ขยายอิทธิพลเหนือแว่นแคว้นต่าง ๆ ในแถบลุ่มแม่น้ำโขงในกัมพูชา  ภาคตะวันออกและภาคกลางตอนบนของประเทศไทย  ดังพบศิลาจารึกระบุพระนามกษัตริย์เจนละและบทบาททางการเมืองที่เมืองศรีเทพ  จังหวัดเพชรบูรณ์  และที่ช่องสระแจง  จังหวัดเพชรบูรณ์

          2)  อาณาจักรขอมหรืออาณาจักรเขมรโบราณ  (พุทธศตวรรษที่ 11-19)  มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองพระนคร  ได้ขยายอำนาจมายังบริเวณปากแม่น้ำโขง  กัมพูชา  ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางของไทย  และสืบอำนาจต่อจากอาณาจักรเจนละ
          อาณาจักรขอมมีความเจริญรุ่งเรืองมาก  รับวัฒนธรรมจากอินเดีย  มีการปกครองแบบเทวราช  และใช้ระบบจตุสดมภ์  คือ  เวียง วัง คลัง นา  นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและพระพุทธศาสนานิกายมหายาน  มีการสร้างเทวรูปและปราสาทหิน  ที่สำคัญคือนครวัด  นครธม  ส่วนในดินแดนไทยมีศาสนสถานที่ได้รับอิทธิพลเขมรอยู่ทั่วไป  เช่น  ปราสาทหินพิมายที่จังหวัดนครราชสีมา  ปราสาทหินพนมรุ้งที่จังหวัดบุรีรัมย์และพระปรางค์สามยอดที่จังหวัดลพบุรี  เป็นต้น

          3)  อาณาจักรตามพรลิงค์  (พุทธศตวรรษที่ 7-19)  มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราช  ซึ่งเป็นศูนย์กลางการติดต่อจากดินแดนภายนอก  คือ  อินเดียและลังกา  จากการติดต่อค้าขายกับต่างแดน  ทำให้ได้รับศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์เข้ามา  และได้รับเผยแผ่ไปยังสุโขทัย  ล้านนา  และหัวเมืองอื่น ๆ

          4)  อาณาจักรลังกาสุกะ  (พุทธศตวรรษที่ 10-18)  จากจดหมายเหตุจีนระบุว่า  อาณาจักรลังกาสุกะมีอาณาเขตจรดทะเลอันดามันและอ่าวไทย  อยู่ทางใต้ของอาณาจักรตามพรลิงค์  สันนิษฐานว่ามีศูนย์กลางอยู่บริเวณเมืองปัตตานี  ดังปรากฏซากเมืองโบราณที่อำเภอยะรัง  อาณาจักรลังกาสุกะเคยส่งทูตไปจีนเมื่อ พ.ศ. 1052  บันทึกจีนระบุว่าอาณาจักรนี้มีกษัตริย์ปกครอง

          5)  อาณาจักรศรีวิชัย  (พุทธศตวรรษที่ 13-19)  ศูนย์กลางอาจอยู่ที่เมืองปาเล็มบัง  บนเกาะสุมาตราในประเทศอินโดนีเซีย  ส่วนศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัยในดินแดนไทยนั้นอยู่ที่เมืองไชยา  จังหวัดสุราษฎร์ธานี  ซึ่งเติบโตมาจากการเป็นเมืองท่าชายฝั่งทะเลเมืองไชยารับนับถือทั้งสามศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและพระพุทธศาสนาแห่งหนึ่งของภาคใต้

          6)  อาณาจักรทวารวดี  (พุทธศตวรรษที่ 11-16)  เป็นชุมชนที่พัฒนาขึ้นเป็นแคว้นแรก ๆ ในดินแดนไทย  จดหมายเหตุจีนเรียกอาณาจักรนี้ว่า  'โถโลโปตี้'  สันนิษฐานว่าศูนย์กลางของทวารวดีอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง  ได้แก่  เมืองนครชัยศรี (หรือเมืองนครปฐมโบราณ)  จากการขุดพบเหรียญเงิน 2 เหรียญ  อายุราวพุทธศตวรรษที่ 12 ที่จังหวัดนครปฐม  มีจารึกภาษาสันสกฤตว่า  'ศรีทวารวดีศวรปุณยะ'  แปลว่า  บุญกุศลของพระราชาแห่งศรีทวารวดี  หรือบุญของผู้เป็นเจ้าแห่งศรีทวารวดี  หรือพระเจ้าศรีทวารวดี  ผู้มีบุญอันประเสริฐ
          ร่องรอยของเมืองโบราณที่ได้รับอิทธิพลทวารวดีพบกระจายอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศไทย  เช่น  เมืองคูบัว  จังหวัดราชบุรี  เมืองอู่ทอง  จังหวัดสุพรรณบุรี  เมืองศรีมโหสถ  จังหวัดปราจีนบุรี  เมืองละโว้  จังหวัดลพบุรี  เมืองศรีเทพ  จังหวัดเพชรบูรณ์  เมืองโบราณยะรัง  จังหวัดปัตตานี  อาณาจักรทวารวดีได้รับอิทธิพลศิลปะอินเดียโบราณส่วนใหญ่สร้างขึ้นเนื่องในพระพุทธศาสนา  อาณาจักรทวารวดีเสื่อมอำนาจลงเมื่ออาณาจักรเขมรขยายอำนาจมายังบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของดินแดนไทยเรื่อยมาจนถึงบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา

          7)  อาณาจักรละโว้  (พุทธศตวรรษที่ 12-18)  มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองละโว้หรือลพบุรี  ละโว้มีแม่น้ำไหลผ่านหลายสาย  เช่น  แม่น้ำเจ้าพระยา  แม่น้ำป่าสัก  แม่น้ำลพบุรี  จึงมีความอุดมสมบูรณ์และสะดวกในการเดินทาง  ทำให้มีการติดต่อค้าขายกับพ่อค้าต่างถิ่นในสมัยโบราณพ่อค้าจีนกับอินเดียเข้ามาค้าขายกับละโว้  ซึ่งจีนเรียกว่า  'เมืองหลอหู'
          ละโว้รับวัฒนธรรมจากสองอาณาจักร  คือ  รับวัฒนธรรมมาสองอาณาจักร  คือ  รับพระพุทธศาสนาจากทวารวดี  รับศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและพระพุทธศาสนานิกายมหายานจากขอม  พระปรางค์สามยอดเป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นในสมัยที่อาณาจักรขอมปกครองละโว้  ต่อมาละโว้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยา

          8)  อาณาจักรหริภุญชัย  (พุทธศตวรรษที่ 14-19)  มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองหริภุญชัยหรือลำพูน  เรื่องราวของอาณาจักรหริภุญชัยปรากฏอยู่ในตำนานจามเทวีวงศ์หรือตำนานเมืองหริภุญชัยและตำนานชินกาลมาลีปกรณ์  มีความเจริญด้านพระพุทธศาสนา  ใช้ภาษามอญโบราณในศิลาจารึกโบราณสถานและโบราณวัตถุที่สำคัญส่วนใหญ่อยู่ในเขตเมืองลำพูน  เช่น  วัดจามเทวี  พระธาตุหริภุญชัย  อาณาจักรหริภุญชัยถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนาในสมัยพระยามังรายมหาราช

          9)  อาณาจักรล้านนา  (พุทธศตวรรษที่ 19-25)  ผู้ก่อตั้งล้านนา  คือ  พระยามังรายมหาราช (พ.ศ. 1804-1854)  ล้านนามีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่หรือเมืองเชียงใหม่  ซึ่งสร้างเมื่อ พ.ศ. 1893
          อาณาจักรล้านนามีความเจริญรุ่งเรืองด้านพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์แบบสุโขทัย  มีการสังคายนาพระไตรปิฎก  สร้างวัดและพระพุทธรูปจำนวนมาก  มีตัวหนังสือของตนเอง  เรียกว่า  'อักษรธรรมล้านนาหรืออักษรตัวเมือง'  ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายและตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน  มีกฎหมายมังรายศาสตร์  ล้านนาตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรอยุธยาบ้าง  พม่าบ้าง  และบางครั้งก็เป็นอิสระ  เมื่อถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรวมอาณาจักรล้านนาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรไทย

อิทธิพลของอาณาจักรโบราณในสังคมไทย
          อิทธิพลของอาณาจักรโบราณต่อสังคมไทยที่เห็นชัดเจน  คือ  การนับถือพระพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์-ฮินดู  โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาได้สืบทอดมาจนถึงปัจจุบันและมีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์งานศิลปวัฒนธรรมต่าง ๆ ตลอดจนวิถีชีวิตของผู้คนบนผืนแผ่นดินไทย  เช่น  การสร้างสรรค์พระพุทธรูปที่มีลักษณะเฉพาะของแต่ละสมัย  และเจดีย์รูปแบบต่าง ๆ เช่น  เจดีย์ทรงดอกบัวตูมหรือทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ในสมัยสุโขทัย  เจดีย์ทรงลังกาที่ได้รับอิทธิพลจากลังกาและนครศรีธรรมราช  เจดีย์ทรงปรางค์ที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมเขมร  วรรณกรรมในพระพุทธศาสนา  เช่น  ไตราภูมิพระร่วง  มหาชาติคำหลวง  ตลอดจนประเพณีต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนา  เป็นต้น
          สำหรับศาสนาพรามหมณ์-ฮินดูก็ได้มีอิทธิพลต่อสังคมไทยด้วยเช่นกัน  แม้จะไม่มากเท่าพระพุทธศาสนาก็ตาม  เช่น  การสร้างเทวรูปพระอิศวร  พระนารายณ์  หรือโบราณสถานศาลตาผาแดงในสมัยสุโขทัย  คติความเชื่อที่ว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นสมมติเทพ  พระราชพิธีต่าง ๆ ในสมัยอยุธยา  พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา  และในสมัยรัตนโกสินทร์  พระราชพิธีต่าง ๆ ในสมัยอยุธยา  พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญก็ล้วนแต่ได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู

          ที่มา ที่มาและได้รับอนุญาตจาก : 
ศิริพร ดาบเพชร  คมคาย มากบัว และประจักษ์ แป๊ะสกุล.ประวัติศาสตร์ไทย ม.4-ม.6. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์.


รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

Size : 10.86 KBs
Upload : 2017-06-26 15:55:11
ติชม

กำลังแสดงหน้า 1/0
<<
1
>>

ต้องการให้คะแนนบทความนี้่ ?

0
คะแนนโหวด
สร้างโดย :


kruworapan
รายละเอียด Share
สถานะ : ผู้ใช้ทั่วไป
สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม


NSSC-KM © 2017

Generated 0.082184 sec.